เซอร์ โรเบิร์ต วิลเลียม ร็อบสัน (อังกฤษ: Sir Robert William Robson) (18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1933 – 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2009) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน เป็นอดีตนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวอังกฤษ
เขาเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหน้า ในเวลาเกือบ 20 ปี เขาลงเล่นให้กับ 3 ทีม ได้แก่ ฟูลัม, เวสต์บรอมวิชอัลเบียน และแวนคูเวอร์รอยัลส์ เขาลงเล่นในนามทีมชาติอังกฤษ 20 นัด และยิงได้ 4 ประตู
เขาเป็นที่รู้จักจากการเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จทั้งกับทีมชาติและสโมสร เขาสามารถคว้าแชมป์ลีกได้ใน 2 ประเทศ คือเนเธอร์แลนด์ และโปรตุเกส และคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยในอังกฤษและสเปน รวมทั้งยังสามารถนำทีมชาติอังกฤษเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก 1990 และประสบความสำเร็จในการคุมทีมชาติไอร์แลนด์
เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน เสียชีวิตลงอย่างสงบในขณะที่มีอายุ 76 ปี ด้วยโรคมะเร็งที่บ้านของเขา เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 หลังจากที่ป่วยมานานถึง 15 ปี
ร็อบสันเกิดที่มณฑลเดอแรม เขาเป็นลูกชายคนที่ 4 จาก 5 คน ของฟิลิปป์ และลิเลียน ร็อบสัน ในวัยเด็กพ่อของเขามักจะพาเขาไปชมเกมการแข่งขันของนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์คอยู่เสมอ ร็อบสันชื่นชอบ แจ็คกี มิลเบิร์น และเลน แช็คเลย์ตันมาก และยกย่องว่าเป็นฮีโร่ในวัยเด็กของเขา โดยทั้งสองเป็นนักฟุตบอลที่เล่นในตำแหน่งกองหน้า ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เขาเล่นเมื่อตอนค้าแข้ง
ใน ค.ศ. 1959 ร็อบสันได้เข้าดำรงตำแหน่งเป็นโค้ชให้กับทีมชาติอังกฤษ ร็อบสันดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมเป็นครั้งแรกในเดือนมกราคม ค.ศ. 1968 โดยเป็นผู้จัดการทีมของฟูลัม อดีตต้นสังกัดของเขาในสมัยค้าแข้ง ภายใต้การคุมทีมของเขาจาก 24 นัด ฟูลัมมีคะแนนเพียงแค่ 16 คะแนนเท่านั้น ทำให้เขาไม่สามารถช่วยทีมให้รอดพ้นจากการตกชั้นสู่ดิวิชันสองได้ ซึ่งการตกชั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน
หลังจากนั้นเขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมของอิปสวิชทาวน์ ใน ค.ศ. 1969 และประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยในฤดูกาล 1972-73 เขาพาทีมคว้าอันดับที่ 4 ในลีกได้สำเร็จ และยังพาทีมคว้าแชมป์ Texaco Cup อีกด้วย ในฤดูกาล 1977-78 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ 9 ของเขากับทีม อิปสวิชจบฤดูกาลได้ต่ำกว่าอันดับที่ 6 ของตาราง แต่อย่างไรก็ตามเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ โดยในนัดชิงชนะเลิศอิปสวิชสามารถเอาชนะอาร์เซนอลไปได้ 1-0 ในอีก 3 ปีถัดมา เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพได้สำเร็จ โดยเอาชนะอาแซดอัลค์มาร์ด้วยสกอร์รวม 5-4
ใน ค.ศ. 2002 การสร้างรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของเขาเสร็จสิ้น โดยตั้งอยู่ที่พอร์ตแมนโรด สนามเหย้าของอิปสวิช
ก่อนที่ฟุตบอลโลก 1990 จะเริ่มขึ้น สมาคมฟุตบอลอังกฤษหรือเอฟเอได้บอกกับร็อบสันว่าจะไม่ต่อสัญญาของเขาต่อไป หลังจากที่เขาพ้นจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมพีเอสวีไอน์โฮเฟน และคว้าแชมป์พรีเมียร์ดัตต์ได้ทั้ง 2 ฤดูกาลที่คุมทีม คือ ฤดูกาล 1990-91 และ 1991-92 แต่ไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลถ้วยยุโรป ทำให้เขาต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อจบฤดูกาล
เขาเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมสปอร์ติงลิสบอนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1992 ซึ่งในขณะนั้น โชเซ มูริญโญ เป็นล่ามในภาษาโปรตุเกสให้กับเขา ร็อบสันพาทีมจบอันดับที่ 3 ในฤดูกาลแรก แต่ก็ถูกปลดในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1993
หลังจากที่ลิสบอนปลดร็อบสันออกจากตำแหน่งไม่นานนัก สโมสรฟุตบอลโปร์ตูก็ได้ประกาศแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้จัดการทีมทันที โดยมีมูริญโญเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม ภายใต้การคุมทีมของเขา ปอร์โตสามารถเอาชนะลิสบอนได้ในนัดชิงชนะเลิศโปรตุกีสคัพ ต่อมาปอร์โตก็สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ 2 สมัยติดต่อกัน คือ ฤดูกาล 1994-95 และ 1995-96
ในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1996 เขาได้รับโทรศัพท์จาก จวน กัลพาร์ท รองประธานสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา โดยได้สนทนากับลูอิช ฟีกู เพื่อเชื้อเชิญให้เขาเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีม จนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1996 ร็อบสันได้รับการแต่งตั้งในคุมทีมบาร์เซโลนา โดยเขาได้ให้มูริญโญเป็นผู้ช่วยของเขาด้วย ในการคุมทีมเขาได้เซ็นสัญญากับโรนัลโดด้วยค่าตัว 19.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในฤดูกาลเดียวร็อบสันสามารถพาทีมคว้าแชมป์สเปนิชคัพ, สเปนิชซูเปอร์คัพ และยูโรเปียนส์วินเนอร์คัพได้ โดยในฤดูกาลนี้เขาได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปด้วย
ในฤดูกาล 1997-98 ร็อบสันเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมทั่วไปของสโมสร และลูวี ฟัน คาล เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีม แต่ร็อบสันอยู่ในตำแหน่งเพียงแค่ฤดูกาลเดียวเขาก็กลับไปรับตำแหน่งผู้จัดการทีมของเปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟินอีกครั้ง ด้วยสัญญาระยะสั้นเพียง 1 ฤดูกาล คือ ฤดูกาล 1998-99 โดยจบฤดูกาลในอันดับที่ 3 ของตารางตามหลังเฟเยนูร์ด และวิลเลม II
ภายหลังสัญญาระหว่างร็อบสันกับพีเอสวีหมดลง เขาได้กลับสู่อังกฤษอีกครั้ง และมีตำแหน่งในทีมชาติอังกฤษด้วย แต่หลังจากนั้น รืด คึลลิต ผู้จัดการทีมนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง บอร์ดบริหารจึงตัดสินใจแต่งตั้งให้ร็อบสันดำรงตำแหน่งแทนในวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1999 และสโมสรก็ได้ทำให้ร็อบสันเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมากเนื่องจากให้เงินค่าซื้อขายเพียง 1 ล้านปอนด์เท่านั้น
ในนัดแรกที่ร็อบสันคุมทีม เขาสามารถพาทีมถล่มเชฟฟิลด์เวนส์เดย์ไปได้อย่างขาดลอยถึง 8-0 และพาทีมจบในอันดับที่ 11 ในฤดูกาลแรก โดยจากการแข่ง 32 นัด นิวคาสเซิลสามารถเก็บชัยชนะได้ถึง 14 นัด ภายใต้การคุมทีมของเขา หลังปี ค.ศ. 2000 เควิน คีแกน ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ทำให้มีการเจรจาให้ร็อบสันเข้ารับตำแหน่งแทนเป็นการชั่วคราว แต่ร็อบสันก็ได้ปฏิเสธที่จะเข้ารับตำแหน่ง ในฤดูกาล 2001-02 นิวคาสเซิลภายใต้การคุมทีมของร็อบสันสามารถจบฤดูกาลได้ในอันดับที่ 4 ของตาราง ในฤดูกาลถัดมานิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 3 ของตาราง พร้อมทั้งได้สิทธิ์ลงแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถพาทีมให้เขารอบต่อไปได้ ทำให้ต้องแข่งขันยูฟ่าคัพแทนในฤดูกาล 2003-04 โดยในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 ของตาราง ห่างจากทีมอันดับที่ 4 เพียง 4 คะแนนเท่านั้น ทำให้ในฤดูกาล 2004-05 นิวคาสเซิลไม่สามารถแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ แต่ต้องไปแข่งขันยูฟ่าคัพแทน
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2004 เฟรดดี เชพเพิร์ด ประธานสโมสร ประกาศปลดร็อบสันออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเริ่มฤดูกาลใหม่อย่างย่ำแย่ และขัดแย้งกับนักเตะ โดยสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง แกรม ซูเนสส์ เข้าดำรงตำแหน่งแทนร็อบสัน
ในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2005 เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอของฮาร์ทส์ที่ต้องการให้เขาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม เนื่องจากเขาต้องการอาศัยอยู่ที่นิวคาสเซิล ต่อมาในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2006 สตีฟ สตอนตัน เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติไอร์แลนด์ โดยพร้อมกันนี้ได้แต่งตั้งให้ร็อบสันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้วย และเขาก็ได้ประกาศรีไทร์จากวงการฟุตบอลด้วยเหตุผลด้านสุขภาพใน ค.ศ. 2007
ตั้งแต่ ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา ร็อบสันจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในบางครั้งนั้นต้องมีการผ่าตัดด้วย ทำให้ส่งผลต่อด้านการงานของเขาเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างสมัยที่เขาเป็นผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอลโปร์ตู เขาต้องพลาดการคุมทีมหลายเดือนในฤดูกาล 1995-96 เนื่องจากตรวจพบว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง และเนื้องอกในปอดข้างขวา
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 ร็อบสันเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งอีกเป็นครั้งที่ 5 ต่อมาวันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งปอร์ทสมัธเอาชนะคาร์ดิฟฟ์ซิตีไปได้ 1-0 โดยเขาเป็นผู้มอบถ้วยแชมป์ให้กับ โซล แคมป์เบลล์ กัปตันทีมปอร์ทสมัธ
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ร็อบสันเสียชีวิตลงอย่างสงบในขณะที่มีอายุ 76 ปี ด้วยโรคมะเร็งที่บ้านของเขา หลังจากที่ป่วยมานานถึง 15 ปี หลังจากมีการเผยแพร่ข่าวการเสียชีวิตของเขาไปทั่วโลก ทำให้คนในแวดวงต่างๆเกิดความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ออกมาสดุดีร็อบสันว่าเป็นยอดคนของวงการลูกหนัง โดยเฟอร์กูสันกล่าวว่า "ผมเสียใจมากจากไปของเพื่อนผู้ยิ่งใหญ่ ของบุคคลที่มหัศจรรย์ และเป็นคนที่มีความรู้ในเกมอย่างสูง" ส่วน กอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็ร่วมกล่าวไว้อาลัยร็อบสันเช่นกัน โดยบราวน์กล่าวว่า "ผมรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ผมเคยได้พบกับบ็อบบี้ในหลายๆโอกาส เขาคือภาพรวมที่ชัดเจนสำหรับทุกๆเรื่องราวอันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับฟุตบอลในประเทศนี้"